เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน (ภาคพิเศษ) (ศศิภา)

เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน (ภาคพิเศษ) (ศศิภา)

0 รีวิว  0 รีวิว    
รหัสสินค้า: เธอเป็นดั่งยอดชีวันภ
มีสินค้าในสต็อค
ราคา: 260.00 บาท 65.00 บาท
ประหยัด: 195.00 บาท ( 75.00% )

เนื้อหาบางส่วน

 

ชายาของท่านชายดนัย

 

 

 

 

หล่อนแต่งงานแล้ว...

                แต่งกับผู้ชายที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในหมู่สาวๆ

                แสงตะวันเบื้องนอกสาดกระทบเตียงขนาดหกฟุต

                บนนั้นผ้าคลุมเตียงและผ้าห่มสีขาวยับย่น หญิงสาวซึ่งนอนขวางอยู่บนเตียงพลิกกายไปมาซ้ายทีขวาที บางครั้งดึงผ่าห่มขึ้นมาคลุมหน้า ซุกกายอยู่ใต้ผ้าห่มเป็นนาทีก่อนใช้เท้าถีบมันออก ใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มมานั้นมีทั้งความหวาดหวั่น ตื่นตระหนกและเป็นสุข ดวงตาที่ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาวเป็นประกายวาววาม แก้มของหล่อนแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ผมของหล่อนพันกันยุ่งเหยิงจนมองไม่ออกว่าครั้งหนึ่งมันเคยยืดตรงเป็นเงางามเพียงใด

                หล่อนทอดถอนใจเป็นครั้งที่สาม แล้วพลิกตัวนอนตะแคง      ชูมือซ้ายของตนเองขึ้นมา เพ่งมองแหวนเพชรสามกะรัตบนตัวเรือนทองคำขาวซึ่งสวมอยู่บนนิ้วนางข้างซ้าย ประกายของมันสะท้อนกับแสงตะวันที่สาดส่องผ่านหน้าต่างและผ้าม่านผืนบางเข้ามา

                ลมพัดผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ทั้งสี่บาน ผ้าม่านพลิ้วไหว สะบัดตัวเป็นจังหวะ เสียงลมหวิววู่ผสานกับเสียงนกดังเป็นเพลงขับกล่อมทำให้หล่อนอยากจะนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไปอีกสักชั่วโมง

                หญิงสาวใช้นิ้วชี้แตะลงบนแหวนแต่งงาน ลูบไล้มันอย่าง    แผ่วเบา ก่อนสลัดศีรษะ แล้วดึงผ้าห่มคลุมร่างของตัวเองอีกครั้ง

                เมื่อคืน...

                เพียงแค่คิด...แก้มของหล่อนร้อนซู่

                หญิงสาวยกมือแนบแก้มทั้งสอง นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มราวกับปรารถนาจะซ่อนอยู่ในนั้นตลอดไป

                หล่อนหลับตา...แต่ไม่สามารถลบภาพดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอดมองมาแน่วนิ่งคู่นั้นได้

                ‘หนูอิน’

                เสียงทุ้มนุ่มยังดังก้องอยู่ในหัวของหล่อน

                ‘รู้ความหมายของคำว่าแต่งงานไหมคะ’

                รู้สิ ทำไมหล่อนจะไม่รู้ หล่อนไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ไร้เดียงสาจนไม่รู้ว่าแต่งงานคืออะไร

                ‘หนูอินแต่งงานกับอาแล้วจะให้แยกห้องได้ยังไง’

                โธ่! ไม่ให้แยกได้ยังไงเล่า หล่อนยังไม่พร้อมนี่นา...ไม่พร้อมที่จะทำหน้าที่ภรรยาทั้งๆ ที่หล่อนรักเขา

                ใช่ หล่อนรักเขามานานแล้ว เป็นความรักข้างเดียวนาน       หลายปี หล่อนไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะได้ลงเอยด้วยการแต่งงาน       กับเขา

                เขา...คนที่เพียงแค่รักและเอ็นดูหล่อนอย่างหลานคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะความจำเป็น เขาปฏิเสธการแต่งงานนี้ไม่ได้ หล่อนเองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน

                คนสองคนที่ไม่ได้รักกันจึงต้องมาแต่งงานกันเพราะความ      จำใจ

                จริงอยู่ หล่อนรักเขา...แต่การจะเป็นภรรยาของใครสักคน หล่อนก็หวังจะให้สามีรักตอบเช่นกัน

                แว่วเสียงประตูเปิดออก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใคร         คนหนึ่ง

                หนักแน่น เป็นจังหวะสม่ำเสมอ...เช่นนี้แล้วจะเป็นใครอื่นได้อีก หล่อนยิ่งฟุบหน้าลงกับเตียง สองมือยังคงแนบแก้มที่ร้อนขึ้น      ทุกขณะ

                “หนูอิน...” เสียงที่ทอดอ่อนหวานยามเรียกขานหล่อน ทำให้หัวใจของหล่อนเต้นระรัวราวกลองตี

                “สายแล้วนะคะ ยังไม่ตื่นอีกหรือ”

                ‘หนูอิน’ ยังไม่ทันตอบว่าอะไร ผ้าห่มที่คลุมเรือนร่างของหล่อนอยู่ก็ถูกกระชากออก

                “ไหน ไม่สบายหรือคะ”

                พร้อมกับคำถาม สามีของหล่อนจับตัวหล่อนให้พลิกนอนหงาย แล้ววางหลังมือลงบนหน้าผากของหล่อน

                ความอุ่นจัดจากมือนั้นทำให้หล่อนร้อนวูบวาบไปทั้งเรือนกาย

                เขาก้มหน้าลงมา ใกล้มาก ห่างแค่คืบเองกระมัง

                หล่อนจ้องมองเขาตาปริบๆ แทบไม่กล้าหายใจ

                ใบหน้าที่ลอยเด่นอยู่เหนือศีรษะของหล่อนในเวลานี้ สมควรแล้วที่จะเป็นที่พูดถึงในหมู่สาวๆ

                เขามีดวงตาทรงเสน่ห์ล้อมกรอบด้วยแพขนตายาว คิ้วเข้มหนาและโค้งสวยราวกับคันศร จมูกของเขาโด่ง ริมฝีปากเรียวได้รูปราวกับอิสตรี ผิวของเขาขาวจัด เดินไปไหนต่อไหนมักดูโดดเด่นเป็นที่จับตามอง

                นี่แหละเขา...อาดนัยที่หล่อนหลงรัก

                ราชนิกูลจากตระกูลใหญ่....หม่อมเจ้าอัครดนัย สิรภพ!

                “ตัวก็ไม่ร้อนนี่คะ”

                อาดนัยแตะหลังหัตถ์ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย แต่ไม่ว่าจะเป็นจุดใด จะทิ้งความอุ่นจัดไว้ทุกครั้ง

                “โกรธอาหรือคะ”

                พร้อมกับคำถาม ทรงเลื่อนสายตามาสบตาหล่อน ดวงเนตรที่ทรงเสน่ห์ ชวนให้ลุ่มหลงคู่นั้น หล่อนไม่อยากจะมองแม้สักนิด แต่จะให้เบือนหลบก็ทำไม่ได้ ในเมื่ออาดนัยทรงจับปลายคางของหล่อนอยู่เช่นนี้

                “ไม่ได้โกรธเพคะ”

                “ไม่โกรธ...” ดวงเนตรของอาดนัยกวาดมองไปทั่วใบหน้าของหล่อน ปลายดัชนีไล้วนตรงปลายคางเลื่อนขึ้นมาบนริมฝีปาก สัมผัสมันอย่างอ้อยอิ่ง ทำให้หล่อนสะท้าน

                “แล้วทำไมไม่ยิ้มให้อาเลยคะ”

                หม่อมราชวงศ์อินทุอรไม่เคยหวั่นไหวกับใครถึงเพียงนี้ หล่อนตัวสั่น ปากสั่น นึกจะหนีให้ห่างจากคนตรงหน้า แต่ขยับเขยื้อนกายไม่ได้แม้แต่น้อยนิด ราวกับอาดนัยมีมนตร์สะกดทำให้หล่อนตกอยู่ใต้อำนาจและการควบคุมของเขา ตอนที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน หล่อนยังไม่อาการหนักขนาดนี้เลยนี่นา

                “ปากจิ้มลิ้มของหนูอินเอาแต่เม้มอยู่แบบนี้ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะคะ”

                เมื่อวาน...

                วันแต่งงานของเขากับหล่อน...วันที่หล่อนถูกจับแต่งหน้าแต่งตัวจนสวยที่สุดในชีวิต

                ใช่ว่าหล่อนไม่ดีใจ การได้แต่งงานกับคนที่รัก ผู้หญิงทุกคนย่อมต้องรู้สึกหัวใจพองโตคับอก

                ทว่า...การแต่งงานครั้งนี้มันไม่เหมือนการแต่งงานแบบคู่รักคู่อื่นๆ จะเรียกว่าเป็นการคลุมถุงชนก็ว่าได้

                หล่อนกังวลใจสารพัด กลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่อาดนัยนี่สิ ทรงไม่แสดงความกังวลอะไรออกมาเลย สีพระพักตร์ และรอยแย้มสรวลยังคงเป็นปกติ ผิดก็แต่แววเนตรที่วิบวับไม่เหมือนเคย

                ทรงไม่กังวลถึงเรื่องของเราสองคนบ้างเลยหรือไร

                “หนูอิน...กลัวเพคะ”

                “กลัว? กลัวอะไรคะ”

                “กลัวทุกอย่าง” หล่อนจะพูดยังไงดี ความกลัวนั้นมีมากมายและผสมปนเปกันจนหล่อนไม่รู้แล้วว่าตนเองกลัวอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือหล่อนกลัวที่จะรักอาดนัยไปมากกว่านี้

                ข้อตกลงที่ให้กันก่อนหล่อนจะยอมแต่งงานคือ...หนึ่งปี

                ‘หนึ่งปีนะเพคะ อยู่ด้วยกันแค่หนึ่งปี แล้วจากนั้นเราค่อย   หย่ากัน’

                แม้จะเป็นการเฉือนหัวใจตัวเอง หล่อนก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้ถลำลึกไปกว่านี้ หล่อนเองนั่นแหละที่จะต้องเจ็บปวดปางตาย

                หล่อนตอกย้ำกับตัวเองเสมอมาว่าอาดนัยไม่ได้รักหล่อน

                หนำซ้ำยังมีผู้หญิงที่เหมาะสมกับอาดนัยมากกว่าหล่อนรออาดนัยอยู่

                ‘เราแค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ นะเพคะ’

                ‘หมายความว่ายังไง อยู่ด้วยกันเฉยๆ น่ะ’

                ‘ก็...แค่อยู่บ้านเดียวกัน อยู่ในฐานะอากับหลานไงเพคะ ไม่ใช่...’

                ‘อ้อ...’ อาดนัยพยักพระพักตร์รับรู้

                ‘ไม่ใช่สามีภรรยา อาเข้าใจ’

                เข้าใจ...แต่ทำไมตอนนั้น หล่อนเห็นโทสะและความหงุดหงิดวาบขึ้นมาในดวงเนตรของอาดนัยก็ไม่รู้

                “หนูอินกลัวอาหรือ”

                เสียงของอาดนัยปลุกหล่อนจากภวังค์ หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ มองพักตร์ที่อยู่ใกล้จนแทบจะสัมผัสถึงลมหายใจของกันและกันก็รีบกลั้นใจ กระเถิบออกห่างเล็กน้อยก่อนสั่นศีรษะ

                “ไม่ได้กลัวเพคะ”

                “นี่น่ะหรือ ไม่กลัว?” ตรัสด้วยสุรเสียงกลั้วหัวเราะ พลางส่ายพระพักตร์ “เชื่อใจอาสิคะ อาไม่ทำอะไรหนูอินหรอก ถึงเราจะนอนห้องเดียวกัน...หนูอินนอนบนเตียง อานอนบนพื้น”

                รับสั่งพลางชี้ไปยังเบาะนอนขนาด 3.5 ฟุต พร้อมกับผ้าห่มซึ่งวางอยู่ข้างเตียงใกล้หน้าต่าง

                “เมื่อคืน อาไม่ได้ปีนขึ้นไปบนเตียงเลยด้วยซ้ำ ขนาดนี้แล้วหนูอินยังไม่ไว้ใจอาอีก?”

                หล่อนไม่ไว้ใจตัวเองต่างหาก...หม่อมราชวงศ์อินทุอรตอบแต่เพียงในใจ

                ในความเป็นจริง หล่อนทำเพียงแค่ยิ้มแหยๆ แล้วหลบเลี่ยงสายเนตรที่ทำให้หล่อนใจสั่นทุกครั้งไป

 

หม่อมเจ้าอัครดนัย สิรภพจ้องมองเจ้าสาวที่กำลังตัวสั่นราวกับลูกแมวตกน้ำ ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเอ็นดู ขบขัน หงุดหงิด และหนักพระทัย

                อินทุอรในเช้าวันนี้ สวมเพียงเสื้อเชิ้ตตัวยาว พับแขนสองข้างไว้ครึ่งหนึ่ง

                ยามนั่งอยู่บนเตียงในสภาพเพิ่งตื่นนอน หน้าตาเหรอหรา และผมเผ้ายุ่งเหยิง หล่อนไม่รู้เลยสักนิดว่าทำให้เขาละสายเนตรไปจากหล่อนไม่ได้เลยแม้สักวินาที

                ดูสิ...หล่อนตัวสั่น หน้าซีด และไม่กล้าสบตาเขา...เป็นความกลัวที่มีมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

                ดรุณีสาวแรกรุ่นที่ปรากฏกายอยู่ตรงเบื้องพักตร์ในเวลานั้น สวมชุดไทยจักรีประยุกต์สีชมพูโอรส สไบปักลวดลายอ่อนช้อย และผ้านุ่งสีอ่อนดิ้นทองขับให้ผิวของหล่อนผุดผ่องนวลเนียนกว่ายามปกติ ใบหน้ารูปไข่แต่งแต้มไว้ด้วยเครื่องสำอางเพียงบางเบา คิ้วเรียวโค้งสวยตามธรรมชาติ ดวงตาดำขลับล้อมกรอบด้วยแพขนตายาว แก้มแดงระเรื่อด้วยบลัชออนสีหวาน ริมฝีปากอิ่มเต็มเคลือบลิปสติกสีชมพูอ่อน...มันเม้มน้อยๆ และสั่นระริก

                ...เป็นเช่นนี้เสมอยามหล่อนรู้สึกอึดอัดหรือตื่นเต้น

                ผมที่เคยยาวสยายถึงกลางหลัง บัดนี้ถูกรวบไว้เป็นมวยกลางศีรษะ ประดับด้วยดอกกุหลาบสีชมพู เผยลำคอระหง ที่ดูโดดเด่นด้วยสร้อยคอไข่มุกสีขาวแวววามห้อยจี้รูปดอกกุหลาบสีโรสโกลด์

                ทรงยื่นหัตถ์ออกไป...และรอคอย

                นานเท่านาน...กว่าหล่อนจะวางมือเรียวเล็กลงมา

                มือนุ่มนิ่มอยู่ในอุ้งหัตถ์ใหญ่อันร้อนผะผ่าว

                มือหล่อนเย็นเยียบจนท่านชายต้องบีบกระชับแน่นมอบความอบอุ่น

                และปลอบประโลมด้วยการไล้นิ้วบนหลังมือหล่อนอย่างแผ่วเบา

                ...ไม่ใช่การจาบจ้วง ลวนลาม

                แต่เป็นสัมผัสของชายผู้หนึ่งที่ปรารถนาให้เจ้าสาวของเขาผ่อนคลายความเครียดและความตื่นเต้นลงบ้าง

                ‘หนูอินอาจจะเคย...ไม่เชื่อมั่นในตัวอา’

                ทรงรั้งตัวหล่อนเข้ามาใกล้ กระซิบข้างใบหูด้วยสุรเสียงทุ้มนุ่มราวกับจะขับกล่อมให้หล่อนโอนอ่อนผ่อนตาม

                ‘แต่นับจากวันนี้ อาขอให้หนูอินเชื่อ...อาพร้อมและเต็มใจดูแลหนูอินไปชั่วชีวิต!’

                ท่านชายตรัสถึงขนาดนั้น อินทุอรก็ยังคงกลัว

                กิตติศัพท์ความเสเพลของเขาคงทำให้หล่อนนึกว่าตัวเอง ‘ซวย’ ที่สุดในชีวิต ที่ต้องแต่งงานกับผู้ชายเจ้าชู้ รักใครไม่เป็น สำมะเลเทเมา และชอบสูบเป็นชีวิตจิตใจ

                เถอะ...นั่นมันอดีตแล้ว

                เรื่องสูบ ทรงเลิกนานแล้ว ตั้งแต่อินทุอรอายุหกขวบ

                เพียงแค่คำพูดของเด็กตัวเล็กๆ กลับมีอิทธิพลทำให้ท่านเลิกบุหรี่ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

            ‘เหม็นเด็กหญิงอินทุอรที่ทรงอุ้มไว้แนบอุระบ่นเบาๆ

            ‘เหม็นมากหรือหนูอิน ทรงแย้มสรวลอวดทนต์ที่ไม่ค่อยขาวเท่าไรนักให้หล่อนดู ก่อนตรัสถามพลางยื่นปรางมาใกล้หล่อนเหม็นจนหอมไม่ได้เลยหรือจ๊ะ

            ‘เพคะหล่อนตอบฉะฉาน พลางยกมือบีบจมูกอีกด้วยเหม็นที่สุดเลยเพคะ หม่อมแม่บอกว่าบุหรี่ไม่ดี ทำไมอาดนัยถึงยังสูบล่ะเพคะ’ 

            คนฟังสรวลราวกับชอบใจ ขณะที่หม่อมแม่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้แต่ยิ้มจืดๆ แล้วเสริมด้วยเสียงนุ่มตามแบบฉบับของท่าน

            ‘ไม่ดีจริงๆ นะจ๊ะดนัย ถ้าเลิกได้ก็เลิกเถอะ

            ‘หนูอินว่าไงจ๊ะไม่ตรัสรับคำ แต่กลับถามหล่อน

            ‘หนูอินเหม็น...ถ้าอาดนัยยังสูบอยู่ หนูอินจะไม่หอมอาดนัยอีก

                เพราะคำขาดของเด็กหกขวบ นับจากวันนั้นเพียงไม่ถึงอาทิตย์ เขาก็เลิกบุหรี่เด็ดขาด ชนิดที่ไม่ว่าไม่แตะต้องมันอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

                ...กลัวว่าเด็กหญิงอินทุอรจะไม่หอมถึงเพียงนั้น?

                ทรงทอดถอนพระทัย ดึงความคิดกลับคืน  มองหญิงสาวตรงหน้าแล้วยิ้มปลอบประโลม

                “เช้าแล้วค่ะ อาไม่ทำอะไรหนูอินหรอก ถ้าจะกลัวอา กลัวแค่ตอนกลางคืนก็พอค่ะ”

                คนฟังถึงกับอ้าปากค้าง ตาที่เบิกโตจ้องมองมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนทำให้คนมองอดสรวลออกมาไม่ได้

                “ไปค่ะ” ทรงปรับสุรเสียงเป็นจริงจังขึ้น “ไปเป็นเพื่อนอาหน่อย”

                “ไปไหนเพคะ”

                “งานวันเกิดเพื่อนอาที่สระบุรีค่ะ”

                ก่อนที่จะถูกปฏิเสธ ท่านชายทรงทำให้เจ้าสาวสำเหนียกในความ ‘เซ็กซี่’ ของตนเองด้วยการกวาดตามองสำรวจหล่อนอย่างช้าๆ

                “ถ้าเกิดหนูอินยังอยู่บนเตียงในชุดนี้ อาไม่รับประกันความปลอดภัยนะคะ”

                ยังไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ คุณหญิงอินทุอรก็วิ่งปรู๊ดหายเข้าไปในห้องน้ำแล้ว รีบร้อนเสียจนลืมหยิบผ้าเช็ดตัวซึ่งแขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าเข้าไปด้วย ท่านชายทรงส่ายพักตร์ก่อนสาวบาทไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนนั้น เคาะประตูห้องน้ำแล้วบอก

                “ลืมผ้าเช็ดตัวแบบนี้ แล้วจะเช็ดตัวยังไงคะ”

                ประตูห้องน้ำค่อยๆ แง้มออก คนที่อยู่ด้านในโผล่มาให้เห็นแค่ใบหน้า หล่อนยิ้มแหยๆ พลางยื่นมือออกมา

                “ขอบพระทัยเพคะอาดนัย”

                หล่อนรีบฉวยผืนนั้น ผลุบหายเข้าไปด้านในแล้วรีบปิดประตูทันที

                ปัง!

                เป็นการปิดประตูใส่หน้าแบบที่ไม่เคยมีใครทำกับท่านมาก่อน

                เถอะ...ทรงยกเว้นให้หนูอินคนเดียว

                หากเป็นคนอื่นทำ ไม่แน่ว่าองค์เองจะกริ้วขนาดไหน

                “อาไปรอข้างล่างนะคะ”

                ตะโกนบอกแล้วจึงสาวบาทออกจากห้อง ก่อนปิดประตู      แว่วเสียงน้ำไหลซู่ดังมาจากด้านใน

 

อินทุอรไม่ใช่คนแต่งตัวนาน หล่อนเป็นผู้หญิงที่ไม่ค่อยแต่งตัวแต่งหน้ามาแต่ไหนแต่ไร ไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆ ที่ต้องให้เขารอนานเกือบๆ ชั่วโมง

                ยังไม่ทันดื่มกาแฟหมดถ้วยด้วยซ้ำ ตอนที่อินทุอรเดินเข้ามาในห้องรับแขก หล่อนอยู่ในชุด...

                หม่อมเจ้าอัครดนัยทรงมองจ้องเจ้าสาวขององค์เองนิ่งนาน ดวงเนตรพราวระยับ

                ชุดที่อินทุอรสวมแม้เป็นชุดเรียบง่าย อย่างเสื้อเชิ้ตแขนยาวกับกระโปรงทรงสอบคลุมเข่าเล็กน้อย แม้รูปร่างของหล่อนจะไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้า หากท่านชายก็ยังมองหล่อนอย่างชื่นชม และแม้  อินทุอรจะแต่งหน้าเพียงบางๆ ผมเพียงรวบไว้เป็นมวยไว้ด้านหลัง ท่านชายก็ยังโปรด               

                ทรงผุดลุก สาวบาทเข้าหาหล่อน แล้วมองสำรวจชุดนั้นอย่างชั่งใจ เจ้าสาวของเขาเหมือนจะรู้ตัวเพราะสีหน้าของหล่อนจืดเจื่อนลง

                “อินควรไปเปลี่ยนชุดใช่ไหมเพคะ” หล่อนแลบเลียริมฝีปาก ดวงตาเป็นกังวลก่อนอธิบาย

                “อินมีชุดออกงานแค่สามสี่ชุดแต่มันเก่าแล้ว เลยไม่กล้าใส่    เราไปซื้อใหม่ดีไหมเพคะ”

                “โอเค” ทรงอมยิ้มน้อยขณะพยักพระพักตร์

                “แต่ต้องทำใหม่ทั้งตัวนะ ทั้งหน้าตา ผมเผ้า แล้วก็ชุดด้วย”

                “อินดูแย่ขนาดนั้นเลยหรือเพคะ”

                หล่อนทำคอตก ใบหน้าที่ก้มอยู่ทรงนึกออกเลยว่ากำลังสลดขนาดไหน

                “ไม่แย่ในสายตาอา เพียงแต่...อาคิดว่ามันเรียบเกินไป”

                ทรงจับต้นแขนของหล่อนด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างจับปลายคางมน เชยคางหล่อนให้แหงนเงยมองสบเนตรของท่าน

                “ออกงานครั้งแรกในฐานะภรรยาของอา หนูอินต้องสวยที่สุด...ไม่โกรธอานะคะ”

                “โธ่ จะโกรธได้ยังไงเพคะ อินเข้าใจ ในฐานะชายาของท่านชายดนัย อินต้องดูดีที่สุดจะทำให้อาดนัยขายพักตร์ไม่ได้เป็นอันขาด”

                “หนูอินคนดี ขอบใจที่เข้าใจอานะคะ”

                ทรงมอบรางวัลของการเป็นคนดีด้วยการจุมพิตแผ่วเบาบน       หน้าผากของหล่อน

 

วังรติวรรธตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่าสองหมื่นไร่ในจังหวังสระบุรี     ทางด้านหน้าเป็นที่พำนักของหม่อมเจ้าลายเมฆ ส่วนทางด้านหลังมีทั้งฟาร์มโคนม ฟาร์มม้า ไร่องุ่น และทุ่งท่านตะวัน ทั้งหมดเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ยกเว้นในอาณาเขตวังแห่งนี้ที่เป็นพื้นที่ส่วนด้วยไม่ให้ใครเข้าถ้าไม่ได้รับอนุญาต

                วันนี้เป็นข้อยกเว้น เนื่องจากมีงานสังสรรค์ภายในวัง จึงอนุญาตให้คนภายนอกเข้ามาได้

                ทางเข้าทางด้านหน้ามีรถจอดเรียงรายข้างทาง เลยเข้าไปด้านในบริเวณลานกว้างหน้าตึกมีรถจอดจนเต็มเช่นกัน หม่อมเจ้าอัครดนัยชะลอความเร็ว ขณะสอดส่ายสายตาหาที่จอดรถ

                ทั้งสองคนออกจากงวังสิรภพตั้งแต่เช้า แวะร้านเสื้อผ้าร้านประจำของท่านชาย เปลี่ยนชุดให้อินทุอรใหม่ ก่อนแวะร้านทำผมและแต่งหน้า กว่าจะมาถึงที่หมายตะวันก็ลับฟ้าไปแล้ว

                เมื่อความมืดเริ่มโรยตัว ไฟจากตัวรถก็ไม่ได้ช่วยอะไร มากนัก

                ระหว่างที่กำลังหาที่จอด ยามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูใหญ่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ครั้งเห็นว่าเป็นใครจึงรีบโค้งตัวถวายคำนับ พลางชี้มือไปยังที่จอดรถซึ่งจัดไว้ให้ท่านชายโดยเฉพาะ

                “จอดทางนี้ได้เลยกระหม่อม”

                ในโรงจอดรถขนาดใหญ่มีรถจอดอยู่ก่อนแล้วห้าคัน เหลือที่ว่างสำหรับรถอีกหนึ่งคัน

                “ไอ้ลมเตรียมไว้ให้ฉันหรือ”

                “กระหม่อม”

                เมื่อได้รับคำตอบ ท่านชายก็นำรถเข้าไปจอดในที่ว่างนั้นทันที

                ครั้นจอดรถเรียบร้อย ท่านชายจึงสาวบาทอ้อมไปเปิดประตูรถให้ชายา

                หม่อมราชวงศ์อินทุอรอยู่ในชุดเดรสสีฟ้าแขนยาวคอระบาย มีลูกเล่นตรงช่วงบ่าเป็นผ้าลูกไม้ซีทรู กระโปรงยาวครึ่งเข่า เอวด้านหลังผูกโบเพิ่มความหวาน ผมที่ยุ่งเหยิงเมื่อเช้าถูกหวีเรียบ ครึ่งหนึ่งเกล้าเป็นมวยไว้ด้านหลัง ส่วนที่เหลือปล่อยยาวตรง ส่วนปลายดัดเป็นลอนเพิ่มความหวานให้กับวงหน้านวล

                หล่อนแต่งแต้มเครื่องสำอางบนใบหน้าเพียงบางเบา เขียนคิ้ว ปัดขนตา ปัดบลัชออนและทาลิปสติกสีชมพูอ่อน จริงๆ ช่างแต่งหน้าจะ  แต่งให้เข้มกว่านี้ แต่หล่อนขอร้องไว้เพราะไม่ชอบแบกหน้าหนักๆ เดินไปไหนมาไหน

                “มาค่ะ”

                ท่านชายดนัยทรงยื่นหัตถ์ให้จับ ช่วยพยุงตัวหล่อนขณะก้าวลงจากตัวรถ

                เพราะรองเท้าที่สวมสูงเกือบสี่นิ้ว อินทุอรซึ่งไม่เคยคุ้นจึงซวนเซจะล้มแหล่มิล้มแหล่

                “ไหวไหมคะ”

                ...ไม่ไหวก็ต้องไหวละ หล่อนเป็นชายาของหม่อมเจ้าอัคร-ดนัย หล่อนจะทำให้ท่านชายขายพักตร์ไม่ได้

            ‘ลูกโตแล้ว แต่งงานแล้ว จะทำแก่นแก้วเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะหนูอิน

                หม่อมแม่กำชับหล่อนหลายต่อหลายอครั้ง ด้วยกลัวว่าหล่อนจะทำให้ท่านชายต้องอับอาย

                หล่อนจะพยายาม...แค่หนึ่งปี...หนึ่งปีเท่านั้น

                ทว่า...อินทุอรก้มมองตัวเอง...ปลายเท้าของหล่อนแดงก่ำไปหมด ขาก็แข็งเพราะเกร็งตัวอยู่ตลอดเวลา

                เฮ้อ...จะรอดไหมนะเรา!

                “ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าจะล้มก็เข้ามากอดอาได้เลย”

                เข้าไปกอด?...ขืนทำแบบนั้นคนในงานได้มองเป็นตาเดียว   น่ะสิ

                “อะไรคะ ทำไมมองอาแบบนั้นล่ะ”

                “ก็...อาดนัยรับสั่งแปลกนี่เพคะ ขืนเข้าไปกอดอาดนัย            คนอื่นๆ เขาไม่มองแย่หรือเพคะ”

                “มองแล้วทำไม...สามีภรรยากอดกันเรื่องปกติจะตาย”

                ไม่แปลกสำหรับคนที่ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาอย่างอาดนัย แต่สำหรับเมืองไทย อย่างไรอินทุอรก็ยังคิดว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นชินกับการกอดกันในที่สาธารณะถึงจะเป็นคู่แต่งงานก็เถอะ

                “งั้น...ถ้าไม่อยากกอดก็คล้องแขนอาไว้”

                พร้อมกับถ้อยรับสั่ง ทรงจับมือของหล่อนคล้องไว้ที่พาหา       ของท่าน

                “แบบนี้อาจะช่วยพยุงหนูอินได้” ทรงส่งยิ้มให้กำลังใจหล่อน แล้วพยักพระพักตร์ “ไปค่ะ”

                ใช้เวลาไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงห้องโถงที่ใช้สำหรับจัดงาน แชนเดอเลียที่แขวนบนเพดานให้แสงสีส้มนวลตา โต๊ะตัวยาวสำหรับวางอาหารตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้อง แขกที่มาร่วมงานจับกลุ่มคุยกัน มีเสียงเพลงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงซึ่งวางอยู่มุมห้องข้างเปียโนสีขาวคลอเบาๆ

                จากที่มองคร่าวๆ ผู้คนที่มาร่วมงานมีคนที่หล่อนรู้จักแบบที่เคยพูดคุยด้วยเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่เป็นคนที่หล่อนไม่เคยพบมาก่อนแต่มักเห็นตามข่าวสังคมอยู่บ่อยๆ

                ท่านชายดนัยสาวบาทก้าวต่อไปหลังจากหยุดยืนสำรวจอยู่พักหนึ่ง อินทุอรปล่อยแขนที่เกาะท่าน แล้วก้าวตาม สองตากวาดมองไปทั่วงานอย่างสนอกสนใจ จึงไม่ทันระวัง เกือบเดินชนบริกรที่เดินผ่านมา หล่อนชะงัก ก้าวถอยหลัง ปกติน่าจะทรงตัวอยู่ได้สบาย แต่เพราะหล่อนใส่รองเท้าส้นสูงเช่นนั้นจึง...

            ว้าย!...

                เสียงอุทานดังชั่วเสี้ยววินาทีหลังเท้าของหล่อนพลิก ไม่ทันให้คนอื่นได้สังเกต

                ตัวของหล่อนที่เซซวนเกือบจะล้มถูกลำแขนล่ำสันรัดรึงไว้ อาดนัยทรงกอดเอวหล่อน รั้งตัวหล่อนเข้าหา กักขังหล่อนด้วยอ้อมกอดแสนอบอุ่น

                “ซุ่มซ่ามอีกแล้วสาวน้อยของอา”

                ไม่ใช่คำตำหนิ แต่สุรเสียงบอกถึงความเอ็นดูและขบขัน

                “บอกแล้วไงคะว่าให้คล้องแขนอาไว้”

                อินทุอรก้มหน้างุด ซ่อนใบหน้าอยู่กลางอุระของท่านชาย

                “เด็กซุ่มซ่าม”

                ทรงว่าหล่อนพลางสรวลเบาๆ ในลำพระศอ

                หล่อนไม่คิดแก้ตัว...ก็หล่อนเป็นแบบนั้นจริงๆ ครั้งหนึ่งหล่อนถึงกับสะดุดล้มลงบนตัวท่านชาย จมูกและปากฝังลงบนลงปรางสากๆ เสมือนหล่อนทั้งจูบทั้งหอมท่านอย่างไรอย่างนั้น

                อาดนัยไม่โกรธแต่กลับมองหล่อนด้วยแววเนตรวิบวับราวกับพึงใจ

รายละเอียด

ยี่สิบกว่าปี...ตั้งแต่อินทุอรเกิด อาดนัยเป็นคนแรกๆ ที่ได้อุ้มเด็กหญิงอินทุอรที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าสีขาวของโรงพยาบาลไว้ในอ้อมกอด ยามนั้นอินทุอรตัวเล็กมาก หนักเพียงสองพันสองร้อยกรัม ตัวเล็กเสียจนท่านชายดนัยต้องโอบอุ้มอย่างทะนุถนอมกว่าสิ่งใด

          ทรงมองสบดวงตาไร้เดียงสา เพียงตาสานสบตา ดวงตาของเด็กน้อยก็กลายเป็นดวงตาที่ท่านหลงใหลตลอดมานับแต่นั้น

          ‘หนูอิน...หนูอินของอา

          ทรง ‘ยึด’ หล่อนไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และจวบจนกระทั่งบัดนี้ อินทุอรก็ยังเป็นของท่านชายและจะเป็นตลอดไป

 

 

 

 

 

 

 

 

‘You ask how much I need you, must I explain?

          I need you, oh my darling, like roses need rain.

            เธอถาม ฉันต้องการเธอมากแค่ไหน....

ฉันยังต้องอธิบายอีกหรือ

            ที่รัก ฉันขาดเธอไม่ได้ ดั่งกุหลาบที่ต้องการสายฝน

 

            ‘You ask how long I’ll love you; I’ll tell you true

          Until the twelfth of never, I’ll still be loving you.

            เธอถาม...ว่าจะรักเธอนานแค่ไหน ฉันจะบอกความจริง

            ว่าจะรักเธอ ตราบชั่วฟ้าดินสลาย ชั่วนิจนิรันดร

 

 

 

 

 

 

คำนำนักเขียน

               

 

 

                นวนิยายเรื่องนี้มีทั้งภาคปกติและภาคพิเศษ โดยภาคพิเศษนี้ผู้เขียนได้ขึ้นมาใหม่ มีการปรับการดำเนินเรื่อง เพิ่มตัวละครเปลี่ยนเนื้อหา ซึ่งจะไม่เหมือนภาคปกติหลายจุด คนที่ไม่เคยอ่านภาคปกติก่อนก็อ่านภาคนี้รู้เรื่องค่ะ (ส่วนใครที่อ่านภาคปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านภาคพิเศษก็ได้ค่ะ)

                หากเรื่องนี้มีข้อผิดพลาดประการใด ทางผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

 

ศศิภา

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลงานที่ผ่านมา

1.หนึ่งในหทัย

2.หทัยรักบรรณาการ

3.พรหมลิขิตสีดำ

4.ร้อยรักสลักใจ

5.ทาสรักจอมบดินทร์

6.ฤๅพรหมอธิษฐาน

7.เพรงพรหมข้ามภพ

8.เพียงใจเจ้าเอย

9.เพียงหนึ่งดวงใจ

10.รักเพียงเรา

11.เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน

12.โซ่รักสีรุ้ง

 

 

 

 

 

คำนำสำนักพิมพ์

 

 

                ‘หม่อมเจ้าอัครดนัย สิรภพ’ ...ราชนิกูลหนุ่มผู้ที่ใครๆ ต่างให้ฉายาว่าเป็นหนุ่มเสเพลยอมแต่งงานกับสาวน้อยอ่อนต่อโลกที่หน้าตาแสนธรรมดา มิหนำซ้ำยังอ่อนกว่าเขาถึงสิบสี่ปี!

 

            ‘หม่อมราชวงศ์อินทุอร ดิลบุตร’ ทราบดีว่าตนเองหาใช่สเป็กของเขาไม่ หล่อนจึงพยายามปฏิเสธการอภิเษกนี้

 

            ทว่าเมื่อพระบิดาของท่านชายดนัยประชวรหนัก และวาดหวังว่าจะได้เห็นหน้าหลานก่อนสิ้นลม หล่อนจึงไม่มีทางเลือก ต้องยอมเข้าพิธีวิวาห์กับท่านชาย

 

            แม้เขาจะเอ็นดูหล่อนมาแต่เล็กแต่น้อย แต่ก็เพียงในฐานะอากับหลาน เป็นความรักเฉกเช่นผู้ใหญ่พึงมีต่อเด็กในปกครอง           หาได้มีความรู้สึกพิเศษใดๆ ระหว่างกันไม่หากจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผิดแผกไป คงเป็นหัวใจของหล่อนเอง...ที่เฝ้าเทิดทูนและปลาบปลื้มเขาอยู่เพียงฝ่ายเดียว!

 

 

            เมื่อรัก ย่อมรักหมดหัวใจ

            แม้ความทรงจำบางอย่างหล่นหาย หัวใจยังจดจำได้

            ครั้นหล่อนประสบอุบัติเหตุความจำเสื่อม หลงลืมทุกอย่าง ทว่าหัวใจยังคงตอบสนองเขาอย่างไม่อัศจรรย์ ยิ่งห้ามใจไม่ให้รัก หัวใจก็ยิ่งปลิดปลิวหลุดลอยไป หนำซ้ำ ‘สามี’ ก็ช่างยั่วเย้าและรุกเร้า เอะอะเป็นกอด เอะอะเป็นหอม ไหนจะจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วหัวใจดวงน้อยจะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร!

 

เธอคือความรัก คือคนสำคัญในชีวิต

ไม่ว่าพระพรหมหรือฟ้าลิขิต

เธอยังเป็นคนเดียวในใจเสมอ

รักที่เปี่ยมรัก รักเพียงเธอเสมอ

รัก รัก รัก รักเธอเพียงคนเดียว...ยอดชีวัน

 

 

 

 

ศศิน บรรณรต

บรรณาธิการ

สำนักพิมพ์ศศิอักษร

มิถุนายน ๒๕๖๐

 

 

 

 

 

 

 

นวนิยายชุดแสนรัก

หนึ่งในหทัย

เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน ภาคปกติ

เธอเป็นดั่ง...ยอดชีวัน ภาคพิเศษ

 

 

 

** นวนิยายเรื่องนี้ไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์

ในทุกๆ ประโยค ทั้งนี้เพื่อความลื่นไหล

และความสละสลวยในการอ่าน **


รีวิว (0)


สินค้าที่ใกล้เคียง (12 รายการ)

www.batorastore.com © 2024